โบท็อกซ์ (Botox) สารพิษในไส้กรอก อาวุธชีวภาพ สู่การนำมาใช้เพื่อความงาม
รู้หรือไม่? ว่าชื่อ โบท็อกซ์ (Botox) ที่เราคุ้นเคย เป็นเพียงชื่อทางการค้าของสารชีวพิษโบทูลินัม หรือ Botulinum Toxin ซึ่งถูกค้นพบครั้งแรกจากไส้กรอกตั้งแต่เมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว แถมยังเคยถูกนำมาพัฒนาเป็นอาวุธชีวภาพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย! …ดูๆ ไปแล้วเจ้าสาร Botulinum Toxin หรือ โบท็อกซ์ (Botox) ไม่น่าจะวิวัฒนาการมาสู่วงการความงามได้เลย แต่เพราะอะไรสองร้อยกว่าปีต่อมาหลังจากถูกค้นพบจากไส้กรอก โบท็อกซ์ (Botox) ถึงได้กลายเป็นทรีตเมนต์เพื่อความงามที่ได้รับความนิยมเป็นกันดับต้นๆ ในโลกได้กันล่ะ?
ประวัติศาสตร์โบท็อกซ์ (Botox)
Botulinum Toxin หรือ โบท็อกซ์ (Botox) ถูกค้นพบครั้งแรกในช่วงปีค.ศ. 1795-1813 หรือเทียบได้กับช่วงยุคสมัยของสงครามนโปเลียน ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่าเกิดการระบาดของโรคสารพิษที่มาจากไส้กรอก หรือโรคโบทูลิซึม (Botulism) ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และมีอาการอัมพาตชั่วคราว ด้วยการระบาดของโรคนี้เองจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ “Justinus Kerner” นักสาธารณสุขชาวเยอรมันค้นพบสารที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อและระบบประสาท หรือที่กำลังจะมีชื่อเรียกว่า Botulinum Toxin ในอีกประมาณ 70 กว่าปีให้หลัง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่มีความสำคัญมาก เพราะนอกจากจะเป็นการค้นพบครั้งแรกแล้ว Justinus Kerner ยังได้ทำการค้นคว้าวิจัยสารพิษดังกล่าวนี้ต่อทั้งกับสัตว์ทดลอง รวมไปถึงกับตัวของเขาเองด้วย จนพบว่าสารพิษที่สกัดออกมาจากไส้กรอกส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเหงื่อไม่ออกตามร่างกาย หากนำมาใช้ในปริมาณเล็กน้อยก็อาจสามารถรักษาความผิดปกติของระบบประสาทได้ ซึ่งต่อมาอีก 200 ปี ผลการค้นคว้าวิจัยของเขาก็ถูกนำมาต่อยอดจนกลายเป็นการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เพื่อการรักษาความผิดปกติของกล้ามเนื้อได้จริงอย่างในปัจจุบัน
ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1895 “Emile-Pierre van Ermengem” นักจุลชีววิทยาชาวเบลเยี่ยม ได้มีการค้นพบเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคโบทูลิซึม (Botulism) ว่าสาเหตุของอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ยังยั้งไม่ให้เหงื่อออก มาจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) และได้เกิดชื่อเรียกของสาร Botulinum Toxin ขึ้นมา
อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์โบท็อกซ์ (Botox) ในลำดับถัดมาก็ยังไม่ได้ระบุว่า Botulinum Toxin ถูกนำมาเพื่อใช้ในทางความงามหรือทางการแพทย์แต่อย่างใด ทว่ากลับถูกนำมาทดลองและพัฒนาเพื่อใช้เป็นอาวุธชีวภาพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 !
โดยในปีค.ศ. 1944 นักชีวเคมีที่ชื่อว่า “Dr. Edward J. Schantz” ได้ทดลองสกัดแยกสารพิษ Botulinum Toxin ให้อยู่ในรูปแบบ Crystalline form หรือลักษณะเป็นผลึกได้สำเร็จ ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่าการออกฤทธิ์ของ Botulinum Toxin จะไปสกัดกั้นการหลั่งของสารสื่อประสาท โดยการปิดกั้นเส้นประสาทจากการส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อทำให้เป็นอัมพาตในระยะสั้น เมื่อถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบ Crystalline ได้แล้ว Dr. Schantz จึงได้คิดต่อยอดการวิจัยนำ Botulinum Toxin ไปใช้เป็นอาวุธชีวภาพในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้มีข้อมูลว่าถูกนำมาใช้ในสงครามโลกแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามยังคงมีรายงานว่าบางประเทศได้มีการพัฒนา Botulinum Toxin เพื่อเป็นอาวุธชีวภาพเพื่อใช้ในทางการสงคราม โดยบรรจุสาร Botulinum Neurotoxin ไว้ในระเบิด กระสุน รวมถึงรูปแบบการทำให้เป็นละอองกระจายในอากาศ แต่แน่นอนว่าบทสรุปของเรื่องการใช้ Botulinum Toxin หรือ โบท็อกซ์ (Botox) ในบทบาทของอาวุธชีวภาพก็ได้ถูกยุติลงเมื่อสหประชาติชาติได้กำหนด อนุสัญญาห้ามอาวุธชีวะ (Biological and Toxins Weapons Convention : BWC) ซึ่งมีสาระสำคัญระบุว่าห้ามรัฐภาคีพัฒนา ผลิต สะสมอาวุธชีวะ และต้องทำลายอาวุธชีวะในครอบครองด้วย โดยอนุสัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1975 โดยไม่ได้ระบุระยะเวลาสิ้นสุด
จากจุดเริ่มต้นในบทบาทตัวร้ายของสารพิษที่ทำให้เกิดโรค สู่อาวุธชีวภาพที่เกือบจะถูกนำมาใช้ในสงครามโลก ในที่สุด Botulinum Toxin ก็ได้รับบทคนดีเสียที เมื่อถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ในด้านการรักษา
ตั้งแต่ค้นพบสารชีวพิษโบทูลินัม หรือ Botulinum Toxin จนถึงปัจจุบัน โรคโบทูลิซึม (Botulism) ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ก็ยังคงถูกพบจากการปนเปื้อนมากับอาหารซึ่งถูกพบมากในอาหารกระป๋องที่ไม่ได้มาตรฐานและขวดโหลของหมักดอง รวมถึงการเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการอัมพาตชั่วคราว กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาจอันตรายถึงชีวิตได้ แต่อย่างไรก็ตามในวงการแพทย์ก็ต่างเล็งเห็นว่าอาจสามารถนำ Botulinum Toxin มาใช้ในปริมาณน้อยๆ อย่างเหมาะสมและอยู่ในการดูแลของแพทย์ ก็อาจสามารถช่วยในการรักษาได้
ในช่วงปีค.ศ.1970 จักษุแพทย์ ชาวอเมริกัน “Dr. Alan Brown Scott” ก็ได้ทำการค้นคว้าวิจัย และทดลองร่วมกับ “Dr. Schantz” (ซึ่งก็คือคนเดียวกับที่ทดลอง Botulinum Toxin เป็นอาวุธชีวภาพนั่นเอง) จนพบว่าพิษของ Botulinum Toxin สามารถนำมาใช้ในการรักษาอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อในมนุษย์ได้ และประสบความสำเร็จในการนำมาใช้รักษาอาการตาเหล่ ตาเข ได้ในที่สุด และต่อยอดนำมาช่วยในการรักษาโรคกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก โรคไมเกรน อาการเหงื่อออกมากผิดปกติ ได้ประสบผลสำเร็จในลำดับถัดมา
กว่าสองร้อยปีที่รอคอย ในที่สุดเราก็จะได้ “ฉีดโบ” กันเสียที
ช่วงปีค.ศ. 1987 ในที่สุดก็มาถึงจุดเริ่มต้นของการนำ Botulinum Toxin มาใช้เพื่อความงามเสียที ซึ่งคุณอาจต้องขอบคุณแพทย์สองสามีภรรยาชาวแคนาดาคู่นี้อย่างสุดซึ้ง ที่ช่วยให้เราได้รู้จักกับ โบท็อกซ์ (Botox) อย่างในปัจจุบัน
ซึ่งเรื่องราวที่จะต้องจารึกเป็นตำนานให้คนรุ่นหลังผู้รักการ “ฉีดโบ” ต้องเล่าขานสืบไปเกิดขึ้นในตอนที่ “Dr. Jean Carruthers” ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมพลาสติก และ “Dr. J. Alastair Carruthers” แพทย์ผิวหนัง ได้ไปที่ห้องปฏิบัติการของ Dr. Alan Brown Scott ทำให้แพทย์ผิวหนังอย่าง Dr. J. Alastair ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อใช้ Botulinum Toxin เพื่อรักษาอาการตาเหล่ ตาเข ตากระตุกแล้ว ผิวหนังบริเวณนั้นเองก็ได้รับผลข้างเคียงทำให้ริ้วรอยย่นจากการขมวดคิ้วดูน้อยลงกว่าช่วงก่อนการรักษา
แพทย์สองสามีภรรยา Carruthers จึงเริ่มทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลลัพธ์ของ Botulinum Toxin เพื่อต่อยอดนำไปใช้ในด้านเสริมความงาม และก็ได้มีการวิจัย รวมไปถึงการตีพิมพ์บทความวิชาการเรื่องการนำ Botulinum Toxin มาใช้ในด้านความงามเป็นครั้งแรก
แล้วชื่อ โบท็อกซ์ (Botox) มาจากไหน???
ถึงแม้ Botulinum Toxin จะได้รับการวิจัยว่าสามารถนำมาใช้เพื่อการเสริมความงามอย่างการช่วยลดริ้วรอยได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีชื่อเรียกว่าโบท็อกซ์ (Botox) ในแบบที่เราคุ้นเคยอยู่ดี เพราะที่จริงแล้วชื่อ โบท็อกซ์ (Botox) นั้นเป็นชื่อทางการค้าของสาร Botulinum Toxin A จากบริษัท Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือถ้าจะบอกให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือชื่อ โบท็อกซ์ (Botox) ก็เปรียบเทียบได้กับการที่เราเหมารวมเรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกยี่ห้อว่า มาม่า นั่นเอง
แต่นอกจากความคุ้นเคยในชื่อโบท็อกซ์ (Botox) ของบริษัท Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว Botulinum Toxin A ภายใต้ชื่อทางการค้าอื่นๆ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ทั้งยี่ห้อจากประเทศเกาหลี อังกฤษ เยอรมัน ต่างก็ได้รับการยอมรับจาก US FDA และ อย. ไทย ในการนำมาใช้ทางการแพทย์และเสริมความงามในโรงพยาบาล รวมถึงคลินิกเวชกรรมด้วยเช่นกัน
ที่ Sinota Clinic เราเลือกใช้ Botulinum Toxin A ยี่ห้อชั้นนำทั้งจากอเมริกาและอังกฤษ ช่วยแก้ปัญหารูปหน้า ลดริ้วรอย ลดอายุ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมดูแลด้วยแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเชี่ยวชาญประสบการณ์สูงทุกเคส เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ปลอดภัย ไม่ดื้อโบ ด้วยผลิตภัณฑ์ Botulinum Toxin A ของแท้ คุณภาพสูง
เพราะปัญหาผิวพรรณและความงามทั่วเรือนร่างเป็นสิ่งสำคัญ ปรึกษา Sinota Clinic เพื่อมาร่วมเติมแต่งเอกลักษณ์ความงามของคุณให้เป็นที่จดจำ
สถานที่ให้บริการ
982/22 อาคารศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย ชั้น 5 โซนสำนักงาน ห้องเลขที่ 5111-5112 ถ.สุขุมวิท พระโขนง คลองเตย กทม.10110
โทร : 064-239-3291 (HOTLINE : 24 Hr.)
อีเมล์ : info@sinotaclinic.com
เวลาทำการ : ทุกวัน 10.00 – 19.00 น.