**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
Chelation Therapy ล้างสารพิษ รักษาสุขภาพ เพื่อความสุขตั้งแต่วันนี้จนถึงอนาคต
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
เราจะยอมทำงานหนักเพื่อเก็บเงินไปรักษาตัวเองตอนแก่จริงหรือ? ถึงตอนนั้นสิ่งที่เราพยายามมาทั้งชีวิตเพื่อความสุขในบั้นปลายคงหายไป ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงเปลี่ยนความคิดมาดูแลสุขภาพกันตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งเปลี่ยนมากินอาหารคลีน ออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส จนถือได้ว่าสมัยนี้เป็นยุคสมัยของคนรักสุขภาพที่แท้จริง แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนพฤติกรรมมาดูแลตัวเองมากขนาดไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งแวดล้อมภายนอกยังพร้อมที่จะบั่นทอนสุขภาพเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ ฝุ่นละออง หรือแม้แต่สภาวะความเครียดและการใช้ชีวิตที่เร่งรีบของคนเมือง ตลอดจนสารพิษที่อาจปนเปื้อนมาในอาหารโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุสำคัญให้ร่างกายผลิตอนุมูลอิสระ (Free Radial) ที่ถือเป็นสารพิษร้าย ตัวการทำลายเซลล์ต่างๆ ส่งผลให้ร่างกายที่เราดูแลรักษามาอย่างดีเกิดโรคร้ายตามมาในที่สุด ดังนั้น เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีให้คงอยู่ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงอนาคต นอกจากการใช้ชีวิตที่เหมาะสมแล้ว การกำจัดสารพิษที่สะสมในร่างกายก็ถือเป็นอีกหนึ่งที่ช่วยให้เราได้มีความสุขกับสุขภาพที่ดีในบั้นปลาย และถึงแม้ว่าจะมีวิธีการกำจัดสารพิษมากมาย แต่หนึ่งในวิธีการที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดนั้นคือ คีเลชั่นบำบัด หรือ Chelation Therapy เนื่องด้วยการใช้เวลาที่น้อยกว่า ปลอดภัยกว่า ทำให้ คีเลชั่นบำบัด (Chelation) พร้อมทำหน้าที่ดูแลสุขภาพคุณได้ดีกว่า
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ขจัดสารพิษลดความเสี่ยงโรคร้าย
ในยุคที่ทุกคนต้องเผชิญมลภาวะมากมายจากทั่งสารทิศ ทำให้ร่างกายรับสารพิษจากสิ่งแวดล้อมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว เมื่อสะสมมากเข้าจะทำให้ร่างกายผลิตสารอนุมูลอิสระที่ส่งผลเสียต่อระบบทำงานของร่างกาย ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา ซึ่งสารพิษที่เป็นสาเหตุปัญหาสุขภาพนั้นมีหลายประเภท ดังนี้
1.สารพิษจากสารเคมี ได้แก่ สารปรุงแต่งอาหาร (ทั้งสี กลิ่น รส) ผงชูรส เครื่องสำอางค์ เช่น แชมพู ยาย้อมผม ลิปสติก ยาทาเล็บ หรือแม้แต่ยาแผนปัจจุบัน ซึ่งสารพิษเหล่านี้สามารถเข้าทางปาก ทางศีรษะ ทางผิวหนัง ผ่านเข้าทางหลอดเลือดฝอยเข้าไปสะสมในตับ
2.สารพิษจากโลหะหนัก ได้แก่ ควันรถ ควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ยาฆ่าแมลง สารตะกั่ว โลหะหนัก หากมีการสะสมของสารพิษประเภทนี้เป็นจำนวนมากอาจส่งผลให้เกิดอาการทางระบบสมองได้
3.สารพิษจากฟอร์มาลีน ได้แก่ อาหารทะเลแช่แข็ง ผักและผลไม้ที่สดกรอบเกินไป ภาชนะบรรจุอาหารหรือเครื่องดื่ม ถุงใส่อาหารร้อน เป็นต้น
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เราเห็นได้ว่า ต่อให้เราพยายามใช้ชีวิตที่ดีเพียงใด ร่างกายก็ยังคงสะสมสารพิษโดยที่เราไม่คาดคิด ซึ่งสารพิษเหล่านี้จะสะสมในร่่างกายในรุปแบบของโลหะหนัก จับอยู่ตามผนังหลอดเลือด ก่อให้เกิดกระบวนการอักเสบของหลอดเลือดและเกิดเป็นสารอนุมูลอิสระที่สุดท้ายจะเข้าไปทำลายเซลล์และเอนไซม์ที่สำคัญในร่างกายให้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อปล่อยทิ้งไว้จะทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติ และมีการนำสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ลดลง ส่งผลให้เกิดการเสื่อมของเซลล์เป็นจำนวนมากและอย่างรวดเร็ว เสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดได้ ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงโรคร้ายที่จะตามมา จึงเกิดแนวคิดกำจัดสารพิษและโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด กรรมวิธีการอันทรงประสิทธิภาพอย่าง คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่จะทำให้หลอดเลือดที่เคยมีแต่สารพิษ โลหะหนัก สะอาดขึ้น ให้หลอดเลือดทำงานได้ดีอยู่เสมอ ลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคร้ายแรงตามมา และนอกจากคีเลชั่นบำบัด (Chelation) จะช่วยชะลอโรคแล้ว การทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) ยังสามารถช่วยชะลอวัยได้อีกต่างหาก
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
เข้าใจการทำงานของคีเลชั่นบำบัด (Chelation)
คีเลชั่นบำบัด (Chelation) คือการใช้คีเทอเลอร์จับกับโลหะหนัก ซึ่งเป็นสารพิษที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในหลอดเลือด หลังจากการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) คีเทเลอร์จะไปจับกับโลหะหนัก โลหะหนักเหล่านั้นจะเปลี่ยนรูปแบบสารให้สามารถละลายน้ำได้ และเมื่อละลายกับน้ำก็ทำให้ร่างกายสามารถขับออกทางไตได้ตามปกติ นอกจากนี้ การทำ คีเลชั่นบำบัด (Chelation) ไม่เพียงแค่ขจัดสารพิษออกจากร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดปริมาณการเกิดสารอนุมูลอิสระ ช่วยรักษาอาการอักเสบของผนังหลอดเลือด ช่วยให้ผนังหลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ขยายตัวได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดทำงานได้อย่างดีขึ้นอีกด้วย เพื่อให้เข้าใจการทำงานของ คีเลชั่นบำบัด (Chelation) ง่ายขึ้น ลองนึกภาพของหลอดเลือดเป็นสายยางเส้นหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปสายยางก็จะเริ่มเก่า ไม่ค่อยยืดหยุ่น ขณะเดียวกัน ข้างในสายยางก็มีตะกรันมากมายที่จับอยู่กับผนังสายยาง ซึ่งเปรียบเสมือนโลหะหนักต่างๆที่เกาะอยู่ ซึ่งโลหะเหล่านี้อาจมีทั้งดีและไม่ดีปะปนอยู่ แต่เมื่อใดก็ตามที่โลหะเหล่านี้ไปอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้ขวางการเดินทางของน้ำ ทำให้น้ำไหลเวียนไม่ดี ซึ่งน้ำที่ว่านี้ก็เปรียบเสมือนกับเลือดในร่างกาย ดังนั้น คีเลชั่นบำบัด (Chelation) จึงทำหน้าที่เหมือนการทำความสะอาดสายยางหรือหลอดเลือดให้อยู่ในสภาพใหม่เอี่ยมเสมอนั่นเอง ซึ่งการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) จะทำให้หลอดเลือดของเราไม่มีโลหะหนักมาเกาะ ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนของเลือดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้อย่างสมบูรณ์แบบ โอกาสการเกิดโรคร้ายแรงก็ลดลง คีเลชั่นบำบัด (Chelation) จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่แพทย์ เนื่องด้วยความปลอดภัยที่สูง ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสมัยนั้นแพทย์ใช้คีเลชั่นบำบัด (Chelation) ในการช่วยรักษาผู้ที่ถูกก๊าซพิษสารหนู (Arsenic) ซึ่งสามารถช่วยขจัดพิษร้ายได้เป็นอย่างดี จากนั้นทางการแพทย์จึงเลือกใช้ คีเลชั่นบำบัด (Chelation) เพื่อการรักษามาอย่างต่อเนื่อง โดยถูกแปรเปลี่ยนมาใช้กับการรักษาโรคที่เกิดจากการสะสมของธาตุเหล็กมากเกินไป หรือมีโลหะหนักสะสมสูงเกิน เช่น สารปรอท สารตะกั่ว เป็นต้น และด้วยการพัฒนาการทำงานอย่างไม่มีสิ้นสุด คีเลชั่นบำบัด (Chelation) ในปัจจุบัน นอกจากจะช่วยดูแลสุขภาพร่างกายให้ทำงานได้ดีอยู่เสมอ ให้ร่างกายห่างไกลโรคร้ายมากขึ้นแล้ว คีเลชั่นบำบัด (Chelation) ยังช่วยให้ห่างไกลความแก่ได้อีกด้วย
สารคีเลเทอร์ในคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ตัวแปรสำคัญกำจัดโลหะหนัก รีเฟรชการทำงานของร่างกาย
คีเลชั่นบำบัด (Chelation) มีรากศัพท์มาจาก “คีเล่ (Chele)” หมายถึง การยึดติดแบบก้ามปูของสารออร์แกนิคกับโมเลกุลของโลหะ ซึ่งเป็นประจุบวก เป็นที่มาของสารที่ใช้ในการจับและกำจัดสารโลหะหนักว่าเป็น คีเลเทอร์ (Chelator) ซึ่งคีเทอเลอร์ที่ใช้ในการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) ก็มีอยู่หลายชนิดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสารจากธรรมชาติ ได้แก่ D-Penicillamine หรือสารเคมีสังเคราะห์ ได้แก่ Dimercapto-Propane-Sulphonic Acid (DMSA), Deferoxamine (DFO) และมีการพัฒนาของสารคีเลเทอร์ที่นำมาใช้ในการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) ในปัจจุบัน ที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางและแพร่หลายมากที่สุด ได้แก่ Ethylene Diamine Tetra Acetic Acid หรือ EDTA
อีดีทีเอ (EDTA) ในการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) เป็นกรดอะมิโนสังเคราะห์แบบสายยาว จะไม่ถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์ โดยการดูดซึมทางระบบทางเดินอาหารได้เพียง 5% ของปริมาณทั้งหมดที่ได้รับ นอกจากนี้การทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) ด้วย EDTA จะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ โดยจะจับกับโมเลกุลของโลหะหนักติดออกมาด้วย โดยโมเลกุลของ EDTA จะไม่ทำอันตรายใดๆกับร่างกาย ดังนั้น การให้ EDTA ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและให้ประโยชน์ในการรักษามากที่สุดคือการให้ทางหลอดเลือดดำนั่นเอง
ขั้นตอนการรักษาด้วยคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
ขั้นตอนการรักษาด้วยคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ไม่ยุ่งยากและใช้เวลาไม่นาน โดยการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) จะเป็นการให้สารน้ำที่ผสม EDTA และวิตามินต่างๆ ทางหลอดเลือดดำ ใช้เวลาประมาณ 1.5 -3 ชั่วโมง โดยขึ้นอยู่กับการละลายของสาร สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อเวลาการให้สารละลายนั้น ได้แก่ ปริมาณของ EDTA ในการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) การตอบสนองของผู้ป่วยต่อการรักษาคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ในครั้งก่อน และดุลพินิจของแพทย์ผู้ทําการรักษาด้วยคีเลชั่นบำบัด (Chelation) โดยในระหว่างที่ทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ขณะให้สารละลายทางหลอดเลือด ท่านสามารถพักผ่อน ดูโทรทัศน์ ฟังเพลง อ่านหนังสือได้ตามปกติ และหลังจากทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ท่านสามารถทำกิจวัตรประจำวันต่างๆได้ตามปกติ
**ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
ข้อดีของการล้างพิษหลอดเลือดด้วยคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
• คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ช่วยกำจัดตะกรันแคลเซียมและโลหะหนักที่ตกค้างของภายในหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ส่งผลให้ลดอัตราเสี่ยงของหลอดเลือดแข็งอุดตันและตีบแคบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด และคีเลชั่นบำบัด (Chelation) ยังช่วยป้องกันโรคความเสื่อมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากระบบหมุนเวียนที่ไม่ดี
• คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ช่วยหยุดยั้งกระบวนการทำงานของเอนไซม์บางชนิด เช่น เอนไซม์ชนิดที่ควบคุมการรวมตัวระหว่างออกซิเจนกับไขมัน (Lipid per-oxidation) ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
• คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ช่วยลดสาเหตุที่ก่อให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง
• การทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ซึ่งการที่เลือดไหลเวียนดีขึ้น ก็ส่งผลให้การทำงานของต่อมไร้ท่อต่างๆ ดีขึ้น โดยเฉพาะต่อมไทรอยด์ การทำงานสร้างฮอร์โมนดีขึ้น ช่วยให้ร่างกายเเข็งเเรง สดชื่น
• คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนัง ลดปริมาณการเกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุของการชราก่อนวัยอันควร
คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) เหมาะกับใครบ้าง
คีเลชั่นบำบัด (Chelation) เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะกับบุคลดังต่อไปนี้
• ผู้ที่มีปัญหาสารพิษหรือโลหะหนักสะสมในร่างกาย
• ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดอุดตัน ช่น ระดับไขมันในเลือดสูง
• ผู้ที่มีระดับสารอนุมูลอิสระสูง เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่ใกล้ชิดกับผุ้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ดื่มกาแฟ ชา เป็นประจำ
• ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ การไหลเวียนเลือดบกพร่อง เช่น อาการเวียนศีรษะง่าย
• ผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูง เนื่องจากหลอดเลือดไม่ยืดหยุ่น
• ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี และต้องการรักษาสภาพของหลอดเลือดไม่ให้เกิดการอุดตัน หรือต้องการกำจัดโลหะหนักที่สะสมในร่างกาย
เมื่อไหร่ที่ร่างกายควรทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) เหมาะสำหรับผู้ที่มีสารพิษตกค้างในร่างกาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการสะสมมากเกินไปจะส่งผลเสีย จึงควรรีบล้างสารพิษออกให้เร็วที่สุด ซึ่งผู้ที่มีสารพิษสะสมมาก มักแสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน ดังนี้
• การปวดศีรษะบ่อย บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ตลอดเวลา
• อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม
• ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนเป็นรูมาตอยด์
• ประสาทตึงเครียด และร่างกายไม่แข็งแรง เพศสัมพันธ์เสื่อม
• เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
• เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ
• ดูดซึมสารอาหารจำพวกแป้งมาก และระบบเผาผลาญทำงานน้อย ทำให้ร่างกายอ้วน
• ขับถ่าย และละลายสารพิษไม่ออก จะเกิดสิวเสี้ยนบนใบหน้า และฝ้าดำบนใบหน้า
• ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก
• เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ
• มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
ข้อห้ามสำหรับการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
คีเลชั่นบำบัด (Chelation) ห้ามทำให้กับบุคคลดังต่อไปนี้
• ผู้ที่มีอาการแพ้ EDTA อย่างรุนแรง
• ผู้ที่มีภาวะไตวายเรื้อรังระยะที่ 4-5 ยกเว้นผู้ที่ทำการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมได้ (renal dialysis)
• ผู้ที่มีอาการทางสมองผิดปกติจากตะกั่วเฉียบพลัน (Acute lead encephalopathy)
• ผู้ที่มีประวัติผ่าตัดต่อมไทรอยด์ (Total thyroidectomy) หรือผู้ที่มีระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ต่ำ (Hypoparathyroidism)
ข้อควรระวังในทำการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
ในการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) ถึงแม้ว่าจะปลอดภัยสูง แต่ก็ไม่สามารถทำได้กับทุกคน และในกรณีที่คุณสามารถทำได้ ก็ยังต้องระวังอย่างมาก สำหรับผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้
• หญิงตั้งครรภ์
• ผู้ที่มีภาวะการทำงานของตับบกพร่อง
• ผู้ที่มีภาวะการทำงานของไตบกพร่อง
• ผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว หรือผู้ที่ต้องจำกัดปริมาณน้ำ
• ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้
• ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-PD
• ผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulation)
การปฏิบัติตัวก่อนทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
เพื่อให้การทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) มีประสิทธิภาพสูงสุด ทุกครั้งคุณจึงควรศึกษาและเตรียมตัวให้พร้อมยตามคำแนะนำนี้
• ก่อนการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) แพทย์จะต้องทำการประเมินสภาพร่างกายเบื้องต้น โดยการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และมีการตรวจเลือดเพื่อดูระดับการทำงานของไต และระดับอิเลคโทรไลท์ต่างๆในกระแสเลือด
• การทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) ทั้งก่อนและหลังการเข้ารับการฉีด EDTA ครั้งแรก จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะจากผู้ป่วย เพื่อนํามาตรวจหาแร่ธาตุจําเป็น และหาระดับของโลหะหนักที่เป็นพิษในทันที เพราะว่าจะเป็นตัวบ่งชี้ปริมาณของแร่ธาตุและโลหะหนักที่เป็นพิษในกระแสเลือดขณะนั้น
• ผู้ที่จะเข้ารับการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ไม่ควรบริโภคอาหารหรืออาหารเสริมที่มีแร่ธาตุต่างๆเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำการตรวจประเมินเบื้องต้น และต้องงดไปจนกว่าจะทําการเก็บตัวอย่างปัสสาวะเพื่อทําการทดสอบอย่างครบถ้วนแล้ว
การปฏิบัติตัวหลังทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
• ควรดื่มน้ำหลังทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) ปริมาณมาก กฎง่ายๆ คือให้ดื่มน้ำหนึ่งออนซ์ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม
• งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะและหลังการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
• งดสูบบุหรี่ หลังทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) เนื่องจากการสูบบุหรี่จะทําให้ผลการบําบัดด้วย EDTA ด้อยประสิทธิภาพลง
อาการไม่พึงประสงค์จากการทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy)
หลังทำคีเลชั่นบำบัด (Chelation) อาจเกิดอาการข้างเคียงบ้าง ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็จะหายเป็นปกติเอง โดยทั่วไปจะมีอาการดังนี้
• ปวดศีรษะ
• ภาวะระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ
• ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
• อ่อนเพลีย เป็นระยะเวลา 24-48 ชั่วโมง หลังจากการบำบัดด้วยคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) เพียงหนึ่งครั้ง คีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) เกิดจากร่างกายจำเป็นต้องนำพลังงานมาใช้เพื่อกำจัดสารพิษ โลหะหนัก แต่มีพลังงานที่ได้จากกระบวนการเมตาบอลิซึมไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดอาการอ่อนล้า อ่อนเพลียได้
• ผื่นผิวหนัง
• หลอดเลือดดำอักเสบ
• คลื่นไส้ อาเจียน
• ระดับความดันโลหิตลดลง จากการคลายตัวของหลอดเลือด หรือบางรายอาจมีระดับความดันโลหิตสูงขึ้น
• การแพ้ยา ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยที่จะพบผู้ที่แพ้ EDTA ส่วนใหญ่จะเป็นการแพ้สารประกอบอื่นๆ ที่ถูกใส่เพิ่มเข้ามาในสารละลายมากกว่า
เพราะปัญหาผิวพรรณและความงามทั่วเรือนร่างเป็นสิ่งสำคัญ ปรึกษา Sinota Clinic เพื่อมาร่วมเติมแต่งเอกลักษณ์ความงามของคุณให้เป็นที่จดจำ
สถานที่ให้บริการ
982/22 อาคารศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย ชั้น 5 โซนสำนักงาน ห้องเลขที่ 5111-5112 ถ.สุขุมวิท พระโขนง คลองเตย กทม.10110
โทร : 064-239-3291 (HOTLINE : 24 Hr.)
อีเมล์ : info@sinotaclinic.com
เวลาทำการ : ทุกวัน 10.00 – 19.00 น.
ซิโนต้า คลินิก (Sinota Clinic) 982/22 อาคารศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย ชั้น 5 โซนสำนักงาน ห้องเลขที่ 5111-5112 ถ.สุขุมวิท พระโขนง คลองเตย กทม.10110 โทร. 064-239-3291
© 2018 Sinota Clinic, All rights reserved